วันเสาร์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ประวัติ บาร์บี้ Barbie

  
        ตุ๊กตาบาร์บี้ หนึ่งในของเล่นที่ยึดครองหัวใจของเด็กหญิงทั่วโลกมานานหลายทศวรรษ นับแต่ ปี ค.ศ.1959 เป็นต้นมา บาร์บี้ได้รับการศัลยกรรม ปรับเปลี่ยนโฉมหน้ามาแล้วถึง 4 ครั้ง คือในปี 1967, 1977, 1992 และ 1999 บาร์บี้ถือสัญชาติอเมริกัน มาประมาณ 50 ปีแล้ว โดยครอบครัวแฮนด์เลอร์-นางรูท แฮนด์เลอร์ เจ้าของบริษัท แมทเทล
 
นางนางรูท แฮนด์เลอร์(ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว)

         เธอได้แนวความคิดที่จะผลิตตุ๊กตาสำหรับเด็กโต ในรูปแบบ 3 มิติ จาก บาร์บาร่า ลูกสาวของเธอขณะที่บาร์บาร่ากำลังนั่งเล่นตุ๊กตากระดาษ และได้ตั้งชื่อตุ๊กตาตามชื่อของลูกสาวว่า บาร์บี้ หรือในชื่อเต็มว่า บาร์บี้ มิลลิเซ็น โรเบิร์ท (Barbie Millicent Roberts)

          ความจริงบาร์บี้เป็นสาวราศีสิงห์ แต่ไปเปิดตัวให้คนรู้จักอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 9 มีนาคม ในงานแสดงของเล่น Toy Fair ที่ เมืองนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา จึงได้ถือเป็นวันเกิดของตุ๊กตาบาร์บี้เรื่อยมา นับจากวันนั้นตุ๊กตาบาร์บี้ก็เป็นที่รู้จักของคนทั่วโลกจนถึงปัจจุบันถึงวันนี้บาร์บี้มียอดขายมากกว่า 1 พันล้านตัวในทั่วโลก

        สำหรับประเทศไทยบริษัท แมทเทล มอบหมายให้บริษัท ดีทแฮล์ม เป็นตัวแทนจำหน่ายตุ๊กตาบาร์บี้ได้รับความนิยมอย่างมาก เนื่องจากในเวลานั้น บาร์บี้เป็นตุ๊กตาผู้หญิงตัวแรก ที่มีขนาดกะทัดรัด มีรูปทรงลอยตัว และมีลักษณะที่เหมือนคนจริง บาร์บี้มีอิทธิพลกับเด็กที่กำลังจะเริ่มเป็นสาวเกือบทั่วโลกมากกว่าความเป็นเพื่อนเหมือนตุ๊กตาทั่วไป  เด็กๆ มีความฝันที่จะโตขึ้นแล้วสวย แต่งตัวทันสมัย ใส่เสื้อผ้าที่ออกแบบโดยนักออกแบบที่มีชื่อเสียง ซึ่งเป็นอีกพัฒนาการหนึ่งของตุ๊กตาบาร์บี้ในระยะเวลาต่อมา ทำให้เด็กๆ มองว่า บาร์บี้คือสิ่งที่พวกเขาอยากจะเป็นในอนาคต

          เรื่องราวของบาร์บี้มีชีวิตเหมือนคนจริงมากขึ้น เมื่อบาร์บี้มีแฟนหนุ่มชื่อเคน คาร์สัน (Ken Carson) ในปี ค.ศ.1961 หรือใน 2 ปี ต่อมาหลังจากที่บาร์บี้ถือกำเนิด ซึ่งในเวลาต่อๆ มา บาร์บี้ก็เริ่มมีสังคมมากขึ้นด้วยการมีเพื่อนต่างสีผิว, เพื่อนของเคน, น้องชาย, น้องสาว, ลูกพี่ลูกน้อง และเพื่อนสาวอีกมากมาย

Ken ในแต่ละยุค

         บาร์บี้กลายเป็นหนึ่งในของสะสมของบรรดาหญิงสาวที่หลงใหลในตุ๊กตาบาร์บี้ โดยไม่เกี่ยงว่าจะมีราคาค่างวดมากน้อยเพียงใด และ แซนดี้ หงส์ ก็เป็นหนึ่งในนั้นไม่ใช่เรื่องที่ใครจะคาดคิดมาก่อนว่า ความคลั่งไคล้ในตุ๊กตาบาร์บี้ของแซนดี้ หงส์จะนำเธอไปสู่การเป็นสุดยอดแฟนพันธุ์แท้นักสะสมตุ๊กตาบาร์บี้คนแรกของ ประเทศไทย

 แซนดี้ หงส์ แฟนพันธุ์แท้ บาร์บี้

        เนื่องด้วยเหตุนี้ จึงไม่แปลกที่ตุ๊กตาบาร์บี้ จะเป็นของเล่นที่ครองใจเด็กผู้หญิงทั่วโลกมากว่า 50 ปี และปัจจุบัน  ได้มีการผลิตบาร์บี้ในรูปแบบของนางแบบ  ศิลปินที่มีชื่อเสียง  และ  หนัง Holly wood อีกด้วย


 

 บาร์บี้ บียอนเซ่




 
บาร์บี้ จากหนังเรื่อง New Moon
 
 
 
 

วันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2554

การสืบค้นข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต

การสืบค้นข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต
1. เว็บไซต์ (Website) หมายถึง ที่ตั้งเครือข่ายข้อมูลที่เชื่อมโยงติดต่อกันได้ทั่วทุกมุมโลกโดยการค้นหาข้อมูลในแต่ละเว็บไซต์จะต้องทราบชื่อเว็บไซต์ที่เราต้องการหาข้อมูลนั้น ๆ หรือสามารถค้นหา

เว็บไซต์ที่เราต้องการค้นคว้าผ่านทางเว็บไซต์ที่เปิดบริการให้ค้นคว้าหาข้อมูลต่าง ๆ เป็นภาษาอังกฤษหรือภาษาไทยได้ที่ www.google.com www.yahoo.com www.sanook.com เป็นต้น
1.1 การค้นหาข้อมูลในเว็บไซต์ตามคำหลัก จะต้องอาศัยการประมวลข้อมูลที่ต้องการค้นหาออกมาเป็นคำหลัก (keyword) ให้ได้ก่อน
1.2 การสืบค้นข้อมูลในเว็บไซต์ตามหมวดหมู่ที่ทางเว็บไซต์ได้แบ่งหมวดหมู่ไว้อย่างชัดเจนทำให้สะดวกมากขึ้น โดยการจัดหมวดหมู่ของแต่ละเว็บไซต์จะแตกต่างกัน

2. ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ ห้องสมุดประเภทนี้จะแตกต่างจากห้องสมุดทั่วไปเพราะสามารถใช้บริการผ่านทางอินเทอร์เน็ต การค้นหาข้อมูลสะดวก รวดเร็ว โดยสามารถค้นคว้าได้จากชื่อเรื่อง หัวเรื่อง ชื่อหนังสือ ชื่อผู้แต่ง เลขมาตรฐานสากลประจำหนังสือ (ISBN) เลขมาตรฐานสากลประจำวารสาร (ISSN) สำนักพิมพ์ ปีที่พิมพ์ เป็นต้น ซึ่งการค้นคว้าในห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์สามารถระบุข้อมูลหรือเงื่อนไขเฉพาะได้ชัดเจน เช่น ต้องการทราบผลงานของสุนทรภู่ เฉพาะเกี่ยวกับนิราศก็สามารถระบุเงื่อนไขที่เกี่ยวกับชื่อผู้แต่ง คือ สุนทรภู่ และระบุหัวข้อเรื่อง คือ นิราศ ระบบสามารถประมวลผลงานของสุนทรภู่เฉพาะเรื่องที่เป็นนิราศเท่านั้น

3. ฐานข้อมูลออนไลน์ ฐานข้อมูล คือ แหล่งจัดเก็บข้อมูลหัวข้อใดหัวข้อหนึ่ง หรือหมายหัวข้อที่รวบรวมมาจากแหล่งข้อมูลหลาย ๆ แหล่ง จำนวนข้อมูลในฐานข้อมูลมักมีมากมายนับหมื่น แสน หรือล้านรายการ
ออนไลน์ (online) เป็นคำทับศัพท์ หมายถึง การเชื่อมโยงผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
การสืบค้นข้อมูลจากฐานข้อมูลออนไลน์ให้ได้ตรงตามความต้องการ อาจใช้เทคนิคง่าย ๆ เข้าช่วย ดังนี้
1. ทำความเข้าใจความหมายของคำเชื่อมที่สำคัญ 3 คำ คือ
"และ" ใช้เพื่อจำกัดขอบเขตของข้อมูลให้แคบลง
ตัวอย่าง ระบุว่า "ว.วินิจฉัยกุล" และ "เรื่องสั้น" ข้อมูลที่ได้จะเน้นข้อมูลของ ว.วินิจฉัยกุล เฉพาะที่เกี่ยวกับเรื่องสั้นเท่านั้น จะไม่ปรากฎเรื่องราวด้านอื่น ๆ เลย
"หรือ" ใช้เพื่อเพิ่มขอบเขตของข้อมูลให้กว้างขึ้น
ตัวอย่าง ระบุว่า "ว.วินิจฉัยกุล" หรือ "ทมยันตี" ข้อมูลที่ได้จะเน้นข้อมูลที่เกี่ยวกับ ว.วินิจฉัยกุล และทมยันตี ทั้งหมดที่มีอยู่ในฐานข้อมูลนั้น
"ไม่" ใช้เพื่อลดขอบเขตของข้อมูล
ตัวอย่าง ระบุว่า "ว.วินิจฉัยกุล" ไม่ "ประวัติ" ข้อมูลที่ได้จะเน้นเรื่องราวของ ว.วินิจฉัยกุลทุกด้าน จะไม่มีเรื่องเกี่ยวกับประวัติชีวิตของ ว.วินิจฉัยกุล เลย
2. ใช้สัญลักษณ์ หากไม่ทราบวิธีสะกดคำที่ถูกต้อง
เครื่องหมายคำถาม ? ใช้แทนอักษร 1 ตัว
เครื่องหมายดอกจัน* ใช้แทนอักษรหลายตัว
ตัวอย่าง ต้องการค้นเรื่องวิญญาณ แต่ไม่แน่ใจหรือไม่ทราบว่าตัวสะกดเป็น ณ หรือ น ให้พิมพ์ "วิญญา?"
ต้องการค้นเรื่อง ปัญจวัคคีย์ แต่ไม่แน่ใจตัวการันต์ให้พิมพ์ ปัญจวัคคี*
3. ฐานข้อมูลอีริก (ERIC database) ซึ่งเป็นฐานข้อมูลด้านการศึกษาให้ใช้คำว่า NEAR สำหรับการค้นที่รวมคำที่ใกล้เคียงกับคำที่ต้องการด้วย


ที่มา : http://www.trueplookpanya.com/true/knowledge_detail.php?mul_content_id=3058

การโอนย้ายโดเมนเนม

การโอนย้ายโดเมนเนม

การโอนย้ายโดเมนเนม มี 2 ลักษณะ คือ

Transfer Registrar
คือ การเปลี่ยนผู้ให้บริการโดเมนเนมหลัก เช่น โอนจาก Directi --> OnlineNIC เป็นต้น การ Tranfer Registrar สิ่งที่ท่านจะต้องทำก่อนการโอนย้ายโดเมนเนม ได้แก่ ติดต่อผู้ให้บริการโดเมนเนมรายเดิมของท่าน เพื่อให้ทำการ Unlock โดเมนเนม พร้อมกับขอหมายเลข Transfer Secret หรือ Authentic Code มาด้วย


Transfer Reseller
คือ การเปลี่ยนตัวแทนผู้ให้บริการโดเมน โดยโดเมนเนมยังคงอยู่กับผู้ให้บริการโดเมนเนมหลัก (Registrar) รายเดิม เช่น โดเมนเนมของท่านเดิมจดไว้กับ OnlineNIC โดยจดผ่านทาง Abcwebhost.com แต่ต่อมาต้องการ เปลี่ยนตัวแทนผู้ให้บริการ จาก Abcwebhost.com มาอยู่กับทางเรา ซึ่งเป็น Reseller ของ OnlineNIC เหมือนกัน เป็นต้น การ Transfer Reseller ท่านต้องแจ้งให้ผู้บริการโดเมนเนมเดิมของท่าน เป็นผู้ดำเนินการให้เท่านั้น ท่านไม่สามารถดำเนินการได้ด้วยตนเอง

ขั้นตอนการโอนย้ายโดเมนเนม :

ตรวจสอบก่อนว่าโดเมนเนมของท่านจดไว้กับ Registrar รายใด (สอบถามจากผู้ให้บริการโดเมนเนมเดิม)


หากโดเมนเนมของท่านจดไว้กับ OnlineNIC และต้องการ Transfer Reseller มาอยู่กับทางเรา ต้องแจ้งให้ผู้บริการเดิมของท่าน ทำการ Transfer Reseller มาที่: Reseller ID: 351570


หากท่านต้องการ Transfer Registrar กรุณาติดต่อผู้ให้บริการเดิมของท่านเพื่อทำการ Unlock โดเมนเนมและขอหมายเลข Transfer Secret หรือ Authentic Code มาด้วย


หลังจากท่านเตรียมความพร้อมในการโอนย้ายโดเมนเนมเรียบร้อยแล้ว กรุณากรอกรายละเอียดในแบบฟอร์มนี้

ที่มา : http://www.thtfreeweb.com/aticle2.html

Gmail คืออะไร

Gmail คืออะไร?

เว็บไซต์ที่ให้บริการฟรีอีเมลมีอยู่มากมาย แต่ที่เป็นที่นิยมและเป็นรายใหญ่คงจะหนีไม่พ้น Hotmail และ Yahoo แต่แล้วสองยักษ์ใหญ่ในวงการอีเมลก็ต้องหวาดกลัว เมื่อ Google ที่เป็นเจ้าแห่งการ Search Engine ประกาศจะทำการเปิดบริการ Gmail ฟรีอีเมลใหม่ ซึ่งจะให้เนื้อที่แก่ผู้ใช้บริการมากถึง 1 กิกะไบต์ หรือ 1,000 เมกกะไบต์ (MB) ซึ่งมากกว่า Yahoo และ Hotmail ประมาณพันเท่า ซึ่งทำให้ในอนาคต Google จะกลายเป็นคู่แข่งของ Microsoft ในเรื่องให้บริการฟรีอีเมล

รายละเอียดของ Gmail
Gmail คือบริการฟรีอีเมลที่ทำงานบนระบบ Search Engine หน้าตาดูจะไม่แตกต่างจากรูปแบบของ Google เท่าไหร่ กล่าวคือไม่มีลูกเล่น ดูเรียบง่ายแต่เน้นที่ความรวดเร็วในการเข้าถึงเป็นหลัก สัญลักษณ์ (logo) นั้นประกอบไปด้วย 4 สี คือ น้ำเงิน เขียว แดง และเหลือง ยังคงความเป็น Google ได้ดีมาก โดยหน้าหลักของ Gmail ประกอบไปด้วย 3 ส่วน ดังนี้

ส่วนที่หนึ่ง คือส่วนด้านซ้าย ทำหน้าที่คล้ายๆกับบริการฟรีอีเมลอื่น ๆ นั่นคือให้เข้าถึงส่วนต่าง ๆ ของบริการได้ง่าย ประกอบด้วย Inbox , Sent mail , All mail , Spam หรือ Junk mail , Trash
ลูกเล่นที่น่าสนใจ “Starred” เป็นส่วนพิเศษที่เว็บอื่นไม่เคยมีให้ Starred เป็นการทำเครื่องหมาย (Mark) ให้แก่จดหมาย เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของผู้ใช้ว่า อีเมลที่ถูก mark นั้น สำคัญกว่าอีเมลอื่นๆ และอีกส่วนหนึ่งคือ Labels ซึ่งทำงานคล้ายกับ folder เราสามารถเพิ่มเข้าไปในจดหมายฉบับใดก็ได้ และในแต่ละ folder ก็จะมี labels ได้หลายอัน หลายท่านอาจจะมองภาพไม่ออก จึงขอยกตัวอย่างให้ดู เช่น แฟ้มเก็บเอกสาร 1 แฟ้ม ในเอกสารทั้งหมดอาจจะมีแผ่นกระดาษแทรกแบ่งเอาไว้ด้วยว่า ช่วงหน้าไหนมีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร ก็เป็นทำนองเดียวกัน labels ก็คือส่วนที่จะบอกเราได้ว่าจดหมายฉบับไหนเป็นอะไร ซึ่งจะเป็นการแยกย่อยลงไปได้อีกในแต่ละ folder
ส่วนที่สอง คือ ส่วนกลาง จะเป็นจดหมาย ประกอบด้วยชื่อผู้ส่ง, หัวข้อจดหมาย, เวลาที่รับจดหมายเข้ามา นอกจากนี้แล้ว ยังมีปุ่มใช้งานทั้งบนและล่างของส่วนกลาง ซึ่งเราสามารถที่จะใช้ปุ่มเหล่านี้ทำงานคู่กับการทำเครื่องหมายถูกหน้าจดหมาย หลังจากนั้นเลือก Report As Spam จะเป็นการบอกให้ Gmail ทราบว่าจดหมายฉบับนี้เป็นอีเมลขยะ ดังนั้นระบบทำการจัดเก็บ เพื่อทำเป็นฐานข้อมูลในการตรวจจับspam ในคราวต่อไป เป็นต้น
ส่วนที่สาม เป็นส่วนที่ทำให้ Gmail พิเศษกว่าที่อื่น คือ “ การค้นหาอีเมล” (search mail) เพียงแค่ใส่คำหลัก(key words) ลงไป แล้วกด search mail จากนั้นการทำงานก็จะเหมือน Search Engine ทุกประการ อีเมลทุกฉบับที่มีคำหลักนั้นก็จะปรากฏขึ้นมา ซึ่งในส่วนนี้ จะรวดเร็ว ง่าย และเปี่ยมประสิทธิภาพ เป็นหัวใจหลักของ search mail ที่ Gmail ต้องการมีไว้สำหรับใช้ดึงดูดผู้ใช้บริการ เนื่องจาก Gmail แปลงจากระบบกล่องเก็บจดหมาย มาเป็น “ห้องสมุดเก็บจดหมาย” โดยใช้ระบบ Indexing Technology ดังนั้นผู้ใช้จึงสามารถที่จะเก็บอีเมลได้มากเท่าที่ต้องการ
ข้อควรระวังในการใช้ Gmail
ถึงเราจะลบรายชื่อเมลแล้ว ก็ยังสามารถ Search หาใหม่ได้ทุกเมื่อ เนื่องจากอีเมลนั้นก็เพียงแต่หายไปจากเครื่อง แต่มิได้หายไปจากฐานข้อมูลของ Google นั่นหมายความว่า อีเมลส่วนตัวทุกฉบับที่มีการส่งถึงกันระหว่างผู้ใช้บริการ Gmail จะต้องผ่านการตรวจสอบและสแกนจากทาง Google เพื่อที่จะนำเข้าสู่ฐานข้อมูล Search Engine E-mail ซึ่งทางด้านกฎหมายถือเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล (เหมือนกับว่าทาง Google จะสามารถล่วงรู้ความลับของเราได้ทุกเมื่อ หากมีการติดต่อกันผ่านทางอีเมล) ดังนั้นหากมีอีเมลที่เป็นความลับ หรือเป็นส่วนตัว ไม่อยากเก็บไว้ เราก็จะไม่มีทางลบให้หายไปได้อย่างถาวร เนื่องจากทุกอย่างขึ้นตรงกับ Google แต่เพียงผู้เดียว

ที่มา : http://www.thtfreeweb.com/gmail.html
html คืออะไร

ภาษา HTML เป็นภาษาพื้นฐานหรือเป็นเรื่อง BASIC ที่ผู้ต้องการจัดทำเว็บไซต์จำเป็นต้องรู้ โปรแกรมอย่าง Dreamweaver ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่ออำนวยความสะดวกให้เราไม่ต้องเรียนรู้ภาษา HTML เราก็สามารถสร้างเว็บเพจได้ แต่รู้ไหมว่า...กว่า 80 % ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการออกแบบเว็บ ส่วนใหญ่เกิดจากการที่ไม่มีความเข้าใจในเรื่องของภาษาพื้นฐาน HTML นี้ พอมีปัญหาก็ไม่อาจจะแก้ไขได้
html คือ HTML ย่อมาจากคำว่า HyperText Markup Language เป็นภาษาที่ใช้ในการแสดงผลของเอกสารบน website หรือที่เราเรียกกันว่าเว็บเพจ เป็นภาษาที่พัฒนาโดย World Wide Web Consortium(W3C) HTML เป็นภาษาที่สำคัญมากกับเทคโนโลยีบนเว็บไซต์ ไม่ว่าคุณจะเขียนโปรแกรมบนเว็บไซต์ด้วยภาษาใด ๆเช่น PHP, ASP, Perl หรืออื่น ๆ คุณก็ต้องมีความจำเป็นในการแสดงผลข้อมูลออกมายัง Web Browser ด้วยภาษา HTML เป็นหลักใหญ่หรือมองว่า HTML คือ Output ในการแสดงผลสู่จอภาพของ Web Browser

รูปแบบการเขียนของภาษา HTML HTML มีรูปแบบการเขียนในลักษณะ TAG ซึ่ง TAG นี้จะมีทั้ง TAG เปิด และ Tag ปิด โดยที่ TAG จะมีลักษณะ ดังนี้ ………………… คือ TAG เปิด คือ TAG ปิด แต่กระนั้นในภาษา HTML ก็ยังมีรูปแบบของ TAG อีกประเภทหนึ่ง คือ TAG เดี่ยว ๆ ที่ไม่จำเป็นต้องมี TAG ปิดเข้าร่วมด้วย เช่น
เป็น TAG สำหรับการขึ้นบรรทัดใหม่ของ HTML เป็น TGA สำหรับการแสดงรูปภาพภาษา HTML เป็นภาษาที่ไม่คำนึงถึงขนาดของตัวอักษร เช่น TAG เราจะเขียนเป็น or ก็จะสามารถแสดงผลได้เช่นเดียวกันและภาษา HTML ไม่มีการแจ้ง Error แต่อย่างใดหากผู้เขียนมีการเขียน TAG ซึ่งผิดพลาด เพียงแต่ภาษา HTML จะไม่แสดงผลตามที่ต้องการเท่านั้นหากเรามีการเขียน TAG คำสั่งผิดพลาด.

ที่มา : http://region1.prd.go.th/index.php?option=com_content&view=article&id=784:html-&catid=62:2009-04-30-03-48-42&Itemid=98

วันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2554

Blog คืออะไร

Blog มาจากทำว่า Webblog : “Web” เป็นคำนามเฉพาะ ย่อมาจาก “World Wide Web” ความหมายสั้น ๆ คืออินเตอร์เน็ต + log การจัดเก็บ บันทึก ดังนั้น Web-blog คือการเก็บการจดบันทึกบนโลกอินเตอร์เน็ต เป็น Personal Website ประเภทหนึ่งแต่ปัจจุบันได้พัฒนามาเป็น ช่องทางการสื่อสารหลาย ๆ เรื่องเช่น เรื่องธุรกิจ การค้าขาย การร้องเรียน การประชาสัมพันธ์ สเน่ห์ของ Blog อยู่ที่ความไม่เป็นทางการ หรือความเป็นกันเองระหว่างผู้เขียน Blog กับผู้ติดตามอ่าน Blog ปัจจุบันมีผู้ให้บริการ Blog หลายรายทั้งให้บริการฟรีโดย Server ของผู้ให้บริการเอง อาทิเช่น Blogger ของ Google, Wordpress.com, Yahoo360 ของไทยก็มี Bloggang.com ของพันทิพ, StoryThai.com หรือเป็น Blog ที่เจ้าของ Blog เอามาติดตั้งบนโฮสติ้งของตัวเอง เช่น Wordpress.org ,Drupal SEOSamutprakarn ก็เป็น Blog ประเภทหลังนี่เช่นกัน

Blogger คืออะไร Blogger เริ่มต้นจากบริษัทเล็กๆ ในซานฟรานซิสโกในปี 1999 นับตั้งแต่ Blogger เปิดตัวก็ได้เปลี่ยนโฉมหน้าของเว็บ สร้างผลกระทบต่อการเมือง เขย่าวงการสื่อสารมวลชน และทำให้คนนับล้านได้แสดงออกและติดต่อกับบุคคลอื่น ณ.ปัจจุบัน Blogger ได้ถูกซื้อไปอยู่ในความครอบครองของ Google เรียบร้อยแล้ว

ทำไมต้องใช้ Blogger

1.ใช้งานง่าย แค่มีบัญชีอีเมล์ของ Google นั่นก็คือ Gmail คุณก็สามารถสร้าง Blog ออกมาได้นับไม่ถ้วน
2.ปรับแต่งง่าย มีเทมเพลต พร้อมทั้ง Gadget มากมายให้เลือกใช้ เพื่อบ่งบอกความเป็นตัวของคุณ
3.ไม่ล่ม แน่นอนครับก็มี Google ดูแลอยู่นี่นา
4.ข้อสุดท้ายสำคัญที่สุด สามารถนำมาติดโฆษณาหารายได้จาก Google Adsense ได้อย่างง่าย ๆ หลาย ๆ คนเอามันมาเป็นสะพานเพื่อสมัคร Google Adsense
เมื่อนับข้อดีได้สี่ข้อแล้ว ก็ไปใช้ Blogger กันเถอะ แต่ก่อนอื่นไปสมัคร Gmail ไว้ซะก่อน ..

ที่มา : http://www.seosamutprakarn.com

การสืบค้นข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต




1. เว็บไซต์ (Website) หมายถึง ที่ตั้งเครือข่ายข้อมูลที่เชื่อมโยงติดต่อกันได้ทั่วทุกมุมโลกโดยการค้นหาข้อมูลในแต่ละเว็บไซต์จะต้องทราบชื่อเว็บไซต์ที่เราต้องการหาข้อมูลนั้น ๆ หรือสามารถค้นหา

เว็บไซต์ที่เราต้องการค้นคว้าผ่านทางเว็บไซต์ที่เปิดบริการให้ค้นคว้าหาข้อมูลต่าง ๆ เป็นภาษาอังกฤษหรือภาษาไทยได้ที่ www.google.com www.yahoo.com www.sanook.com เป็นต้น
1.1 การค้นหาข้อมูลในเว็บไซต์ตามคำหลัก จะต้องอาศัยการประมวลข้อมูลที่ต้องการค้นหาออกมาเป็นคำหลัก (keyword) ให้ได้ก่อน
1.2 การสืบค้นข้อมูลในเว็บไซต์ตามหมวดหมู่ที่ทางเว็บไซต์ได้แบ่งหมวดหมู่ไว้อย่างชัดเจนทำให้สะดวกมากขึ้น โดยการจัดหมวดหมู่ของแต่ละเว็บไซต์จะแตกต่างกัน

2. ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ ห้องสมุดประเภทนี้จะแตกต่างจากห้องสมุดทั่วไปเพราะสามารถใช้บริการผ่านทางอินเทอร์เน็ต การค้นหาข้อมูลสะดวก รวดเร็ว โดยสามารถค้นคว้าได้จากชื่อเรื่อง หัวเรื่อง ชื่อหนังสือ ชื่อผู้แต่ง เลขมาตรฐานสากลประจำหนังสือ (ISBN) เลขมาตรฐานสากลประจำวารสาร (ISSN) สำนักพิมพ์ ปีที่พิมพ์ เป็นต้น ซึ่งการค้นคว้าในห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์สามารถระบุข้อมูลหรือเงื่อนไขเฉพาะได้ชัดเจน เช่น ต้องการทราบผลงานของสุนทรภู่ เฉพาะเกี่ยวกับนิราศก็สามารถระบุเงื่อนไขที่เกี่ยวกับชื่อผู้แต่ง คือ สุนทรภู่ และระบุหัวข้อเรื่อง คือ นิราศ ระบบสามารถประมวลผลงานของสุนทรภู่เฉพาะเรื่องที่เป็นนิราศเท่านั้น

3. ฐานข้อมูลออนไลน์ ฐานข้อมูล คือ แหล่งจัดเก็บข้อมูลหัวข้อใดหัวข้อหนึ่ง หรือหมายหัวข้อที่รวบรวมมาจากแหล่งข้อมูลหลาย ๆ แหล่ง จำนวนข้อมูลในฐานข้อมูลมักมีมากมายนับหมื่น แสน หรือล้านรายการ
ออนไลน์ (online) เป็นคำทับศัพท์ หมายถึง การเชื่อมโยงผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
การสืบค้นข้อมูลจากฐานข้อมูลออนไลน์ให้ได้ตรงตามความต้องการ อาจใช้เทคนิคง่าย ๆ เข้าช่วย ดังนี้
1. ทำความเข้าใจความหมายของคำเชื่อมที่สำคัญ 3 คำ คือ
"และ" ใช้เพื่อจำกัดขอบเขตของข้อมูลให้แคบลง
ตัวอย่าง ระบุว่า "ว.วินิจฉัยกุล" และ "เรื่องสั้น" ข้อมูลที่ได้จะเน้นข้อมูลของ ว.วินิจฉัยกุล เฉพาะที่เกี่ยวกับเรื่องสั้นเท่านั้น จะไม่ปรากฎเรื่องราวด้านอื่น ๆ เลย
"หรือ" ใช้เพื่อเพิ่มขอบเขตของข้อมูลให้กว้างขึ้น
ตัวอย่าง ระบุว่า "ว.วินิจฉัยกุล" หรือ "ทมยันตี" ข้อมูลที่ได้จะเน้นข้อมูลที่เกี่ยวกับ ว.วินิจฉัยกุล และทมยันตี ทั้งหมดที่มีอยู่ในฐานข้อมูลนั้น
"ไม่" ใช้เพื่อลดขอบเขตของข้อมูล
ตัวอย่าง ระบุว่า "ว.วินิจฉัยกุล" ไม่ "ประวัติ" ข้อมูลที่ได้จะเน้นเรื่องราวของ ว.วินิจฉัยกุลทุกด้าน จะไม่มีเรื่องเกี่ยวกับประวัติชีวิตของ ว.วินิจฉัยกุล เลย
2. ใช้สัญลักษณ์ หากไม่ทราบวิธีสะกดคำที่ถูกต้อง
เครื่องหมายคำถาม ? ใช้แทนอักษร 1 ตัว
เครื่องหมายดอกจัน* ใช้แทนอักษรหลายตัว
ตัวอย่าง ต้องการค้นเรื่องวิญญาณ แต่ไม่แน่ใจหรือไม่ทราบว่าตัวสะกดเป็น ณ หรือ น ให้พิมพ์ "วิญญา?"
ต้องการค้นเรื่อง ปัญจวัคคีย์ แต่ไม่แน่ใจตัวการันต์ให้พิมพ์ ปัญจวัคคี*
3. ฐานข้อมูลอีริก (ERIC database) ซึ่งเป็นฐานข้อมูลด้านการศึกษาให้ใช้คำว่า NEAR สำหรับการค้นที่รวมคำที่ใกล้เคียงกับคำที่ต้องการด้วย



ที่มา : http://www.trueplookpanya.com/true/knowledge_detail.php?mul_content_id=3058